Health and Assistive Technology

Health and Assistive Technology

นาฬิกาสมาร์ตวอตช์และฟิตเนสแบนด์ กลายเป็นแกดเจ็ตที่เห็นกันได้ดาษดื่นในเวลานี้ ทั้ง Apple, Google, Samsung, Fitbit, Garmin และอีกหลายแบรนด์ได้ผลิตอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้งานเพื่อติดตามวัดผลการทำงานของร่างกายจากกิจกรรมต่างๆ ที่ทำระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการก้าวเดิน การดื่มน้ำ การนั่ง การนอน รวมถึงการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ เพื่อจับจังหวะการเต้นของหัวใจ ตรวจสอบว่ามีอะไรผิดปกติหรืิิอเปล่า มีฟีเจอร์โทรแจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเตือนไปยังรายชื่อติดต่อฉุกเฉินเมื่อเกิดการล้มหากผู้สวมใส่ไม่มีการตอบสนอง โดยมีหลายรุ่นให้เลือกมากมาย และราคาก็สามารถจับต้องได้ เพราะมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่นตามกำลังทรัพย์

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอย่าง Exoskeletons อุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการเดินให้กลับมาเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เองอีกครั้ง (https://techsauce.co/tech-and-biz/exoskeleton-startups) ซึ่งน่าจะเป็นเทรนด์ที่ควรจับตามองเพราะมันไม่ได้แค่ช่วยให้ผู้ป่วยหรือคนที่พิการกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของมนุษย์ให้ยกของได้หนักขึ้น เพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และยังลดอัตราการบาดเจ็บจากการทำงานได้อีกด้วย

คงต้องบอกว่า เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ใน 10 ปีนี้มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นหลายสิ่ง ทั้งเติบโตและกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ (อย่าง AI) ว่าจะไปต่ออย่างไร และอีกมากมายที่กำลังจะดับไป (อย่าง MP3?) หรือล่มไปต่อหน้าต่อตา (Google Glass?) เราเห็นการเติบโตของธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างการเป็น Influencers ออนไลน์ การเติบโตของธุรกิจออนไลน์แอปพลิเคชั่น การใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค การเดินทางด้วยระบบ Ride-Sharing หรือสั่งอาหารด้วย food Delivery App สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ 10 ปีที่ผ่านมามีเรื่องให้จดจำ

ส่วนตัวแล้วผมอยากเห็นความก้าวหน้าของ AI ที่จะมาช่วยทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ผมยังเชื่อว่า AI นั้นเป็นเรื่องที่ดีและเราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากมาย อีกอย่างหนึ่งก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้โลกอันสวยงามของเรานั้นยังคงอยู่ต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกลสักแค่ไหน สมาร์ตโฟนจะมีสิบกล้อง หรือระบบ AI ที่สามารถขับรถยนต์โดยช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนจนกลายเป็นศูนย์ก็คงไม่มีความหมาย ถ้าสุดท้ายแล้วโลกใบนี้พังทลายลงไป