ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ

ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ

AI หรือปัญญาประดิษฐ์ตอนนี้ได้เป็นสิ่งที่เข้ามาอยู่รอบตัวเรามากขึ้น โดยแฝงไว้ในชีวิตประจำวันที่เราต่างใช้เทคโนโลยีกันมากขึ้น โดยหนึ่ง AI ที่เป็นกระแสตอนนี้มากที่สุดก็คือ ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ที่ช่วยตอบโต้บทสนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ, ช่วยเขียนโค้ด, เขียนบทความ เป็นต้น  ซึ่งในปีที่ภาคเทคโนโลยีได้รับผลกระทบอย่างหนัก ด้วยการปลดพนักงานจำนวนมาก ราคาหุ้นที่ตก และหายนะของคริปโตที่มีข่าวมาเป็นระยะๆ ChatGPT ได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจว่านวัตกรรมยังคงเกิดขึ้น

ChatGPT ได้รับการพัฒนาโดย OpenAI ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยที่นำโดย Sam Altman และได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ChatGPTเป็นรูปแบบหนึ่งของซอฟต์แวร์สร้างภาษา GPT-3.5 ยอดนิยมของ OpenAI ซึ่งออกแบบมาเพื่อดำเนินการสนทนากับผู้คน ฟีเจอร์บางอย่างของมันรวมถึงการตอบคำถามที่ตามมา การท้าทายสถานที่ที่ไม่ถูกต้อง การปฏิเสธคำถามที่ไม่เหมาะสม และแม้กระทั่งการยอมรับข้อผิดพลาด

ChatGPT ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลจำนวนมหาศาล โดย Bern Elliot รองประธานของ Gartner กล่าวว่า มันเรียนรู้ที่จะจดจำรูปแบบที่ทำให้สามารถสร้างข้อความของตัวเองที่เลียนแบบรูปแบบการเขียนต่างๆ ได้ OpenAI ไม่ได้เปิดเผยว่าข้อมูลใดที่ใช้สำหรับการฝึกอบรม ChatGPT แต่บริษัทกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการรวบรวมข้อมูลเว็บ หนังสือ และ Wikipedia

จากเว็บไซต์ของ OpenAI แชทบอทตัวนี้มีการเรียนรู้โดยใช้วิธี Reinforcement Learning from Human Feedback (RLHF)  ทุกครั้งที่คุณถามคือการฝึกอบรมรวมเกี่ยวกับบทสนทนา และมีการจัดให้มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ และยังมีการสร้างโมเดลผ่านข้อความแบบวิธี Proximal Policy Optimization (PPO) วิธีนี้จะสามารถให้เพิ่มความรู้ได้

ChatGPT เปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนและกลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว โดยผู้คนทวีตคำถาม เช่น “NFTs ตายแล้วหรือยัง” และคำขอ เช่น “เล่าเรื่องตลกขบขันเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านภาษีของการทำงานทางไกลระหว่างประเทศ” รวมถึงภาพหน้าจอของการตอบสนองของ ChatGPT ซึ่งมักจะสมเหตุสมผลอีกด้วย 

ไดนามิกเดียวกันของการเกิดขึ้น AI นี้ สามารถเห็นได้จากปัญญาประดิษฐ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ เช่น Midjourney ที่อนุญาตให้ทุกคนใช้และเข้าถึงศิลปะจาก AI ได้ทุกหนทุกแห่ง แต่ก็มีข้อกังวลว่าความสามารถที่เกินขอบเขตของ AI อาจจะไม่ใช่ข่าวดีเสมอไป และมันอาจจะทำให้เกิดการตั้งคำถามบางอย่าง เช่นการทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า วิทยาลัยต่างๆจะปรับตัวให้เข้ากับการแพร่หลายของการเขียนบทความด้วย AI อย่างไร? เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี ChatGPT ยังไม่ได้สมบูรณ์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังพบความผิดพลาดของข้อมูลและยังต้องพัฒนาอยู่เรื่อยๆ สอดคล้องกับStackOverflow เว็บไซต์ของกลุ่มนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (software developers) ได้ประกาศแบนคำตอบของ ChatGPT โดยให้เหตุผลว่า ‘เพราะอัตราการได้คำตอบที่ถูกต้องจาก ChatGPT ยังต่ำเกินไป’ ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนได้

อยากรู้ว่า ChatGPT จะเป็นอย่างไร ลองไปเล่นดูได้ที่: https://chat.openai.com/chat

Lenovo สเปคเร็วแรงในราคาสุดคุ้ม

Lenovo สเปคเร็วแรงในราคาสุดคุ้ม

Lenovo: ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก เชื่อมโยงทุกระดับของนวัตกรรมผ่านสินค้าและบริการที่เหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นพีซี แทบเล็ต สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะด้วยดีไซน์ที่ดูสวยงามทันสมัย คุณภาพของสินค้าดีเยี่ยม ใช้งานได้อย่างยาวนาน เลอโนโวมีสินค้ามากมายให้เลือกไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค, โทรศัพท์, แท็บเล็ต, สมาร์ททีวี, เซิร์ฟเวอร์ และ WorkStations สุดล้ำ ทำความรู้จักกับ Lenovo หนึ่งในแบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมของโลก เช็คราคา เทียบราคา เลือกซื้อสินค้ามากมายจาก Lenovo Thailand ได้ในราคาพิเศษ พร้อมอัพเดทโปรโมชั่นใหม่ ๆ ได้ที่ iPrice Thailand

เข้าไปเลือกชม และสั่งซื้อออนไลน์ได้แล้ววันนี้ คลิก

3D, AR และ VR

3D, AR และ VR

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เทรนด์ของการรับชมความบันเทิงนั้นโฟกัสไปที่เทคโนโลยีที่มีความสอดคล้องกันอย่าง 3D Video, Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) โดยในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ รูปแบบ 3D ถือเป็นพระเอกหลักที่หันไปทางไหนก็เจอ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนต์สามมิติหรือทีวีสามมิติที่โหมโฆษณากันเต็มไปหมด แม้ว่าจะไม่ค่อยสะดวกเพราะต้องสวมแว่นตาเพื่อรับชมคอนเทนต์ต่างๆ แต่สุดท้ายมันก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และภาพยนต์สามมิติก็กลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่เราเห็นกันอยู่ในโรงภาพยนตร์ปัจจุบัน แต่สำหรับทีวีสามมิตินั้นค่อนข้างสวนทางกัน เพราะการนั่งใส่แว่นตาสามมิติดูจอภาพขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้อรรถรสของการรับชมนั้นหมดไป และคนก็เลิกใช้ในที่สุด

ต่อมา เทคโนโลยี VR ก็ออกสู่โลกของการเล่นเกมหรือรับชมคอนเทนต์ มันทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกดิจิทัลอีกใบที่ถูกสร้างขึ้นมา บริษัทใหญ่ๆ อย่าง Sony หรือ Facebook ก็ผลิตเฮดเซ็ตเป็นของตัวเองเพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้โดยเฉพาะเหล่าคอเกม ในส่วนของสมาร์ตโฟนก็ไม่น้อยหน้า เราเห็น Google ที่ใช้กระดาษแข็งและเลนส์ร่วมกับสมาร์ตโฟน (https://arvr.google.com/cardboard/) เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ VR ในราคาที่ถูกลง

หลังจากนั้น เทคโนโลยี AR ก็ได้เข้ามามีบทบาทโดยเป็นการเอาดิจิทัลคอนเทนต์มาแปะทับซ้อนบนโลกความจริง ยกตัวอย่าง เกม Pokemon Go ที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่พักหนึ่ง โดยในช่วงสามปีแรกหลังจากเปิดตัวมียอดดาวน์โหลดกว่า 1 พันล้านครั้งเลยทีเดียว (ทั้ง iOS และ Android) ผู้เล่นต้องจับมอนสเตอร์โดยต้องเดินไปตามสถานที่ต่างๆ เสมือนว่าตัวมอนสเตอร์เหล่านั้นอยู่ตรงหน้าเราจริงๆ

อันที่จริงแล้วเทคโนโลยี AR ไม่ได้จำกัดแค่ในเรื่องของความบันเทิงเท่านั้น มันยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมและธุรกิจอื่นๆ ด้วย เช่น Google Maps ที่ใช้เทคโนโลยี AR เข้ามาช่วย เมื่อผู้ใช้งานยกสมาร์ตโฟนขึ้นมา เขาสามารถมองเห็นรายละเอียดร้านค้าต่างๆ โผล่ขึ้นมาทับซ้อนกับภาพบนหน้าจอได้เลย

(https://www.pocket-lint.com/apps/news/google/147956-what-is-google-maps-ar-navigation-and-how-do-you-use-it)

Health and Assistive Technology

Health and Assistive Technology

นาฬิกาสมาร์ตวอตช์และฟิตเนสแบนด์ กลายเป็นแกดเจ็ตที่เห็นกันได้ดาษดื่นในเวลานี้ ทั้ง Apple, Google, Samsung, Fitbit, Garmin และอีกหลายแบรนด์ได้ผลิตอุปกรณ์สำหรับผู้ใช้งานเพื่อติดตามวัดผลการทำงานของร่างกายจากกิจกรรมต่างๆ ที่ทำระหว่างวัน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการก้าวเดิน การดื่มน้ำ การนั่ง การนอน รวมถึงการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ เพื่อจับจังหวะการเต้นของหัวใจ ตรวจสอบว่ามีอะไรผิดปกติหรืิิอเปล่า มีฟีเจอร์โทรแจ้งขอความช่วยเหลือ และแจ้งเตือนไปยังรายชื่อติดต่อฉุกเฉินเมื่อเกิดการล้มหากผู้สวมใส่ไม่มีการตอบสนอง โดยมีหลายรุ่นให้เลือกมากมาย และราคาก็สามารถจับต้องได้ เพราะมีตั้งแต่หลักร้อยจนถึงหลักหมื่นตามกำลังทรัพย์

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีอย่าง Exoskeletons อุปกรณ์สำหรับผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการเดินให้กลับมาเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้เองอีกครั้ง (https://techsauce.co/tech-and-biz/exoskeleton-startups) ซึ่งน่าจะเป็นเทรนด์ที่ควรจับตามองเพราะมันไม่ได้แค่ช่วยให้ผู้ป่วยหรือคนที่พิการกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่เทคโนโลยีนี้ยังสามารถเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของมนุษย์ให้ยกของได้หนักขึ้น เพิ่มความปลอดภัยของผู้ใช้งาน และยังลดอัตราการบาดเจ็บจากการทำงานได้อีกด้วย

คงต้องบอกว่า เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ใน 10 ปีนี้มีเทคโนโลยีเกิดขึ้นหลายสิ่ง ทั้งเติบโตและกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ (อย่าง AI) ว่าจะไปต่ออย่างไร และอีกมากมายที่กำลังจะดับไป (อย่าง MP3?) หรือล่มไปต่อหน้าต่อตา (Google Glass?) เราเห็นการเติบโตของธุรกิจที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างการเป็น Influencers ออนไลน์ การเติบโตของธุรกิจออนไลน์แอปพลิเคชั่น การใช้ Big Data เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค การเดินทางด้วยระบบ Ride-Sharing หรือสั่งอาหารด้วย food Delivery App สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ 10 ปีที่ผ่านมามีเรื่องให้จดจำ

ส่วนตัวแล้วผมอยากเห็นความก้าวหน้าของ AI ที่จะมาช่วยทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น ผมยังเชื่อว่า AI นั้นเป็นเรื่องที่ดีและเราสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้มากมาย อีกอย่างหนึ่งก็คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้โลกอันสวยงามของเรานั้นยังคงอยู่ต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปไกลสักแค่ไหน สมาร์ตโฟนจะมีสิบกล้อง หรือระบบ AI ที่สามารถขับรถยนต์โดยช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนจนกลายเป็นศูนย์ก็คงไม่มีความหมาย ถ้าสุดท้ายแล้วโลกใบนี้พังทลายลงไป

Smart Assistants

Smart Assistants

ในที่สุดเราก็มาถึงยุคที่ AI นั้นสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานทั่วไปได้แล้วจริงๆ การฝึก AI ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงเหมือนเมื่อก่อน จึงทำให้ระบบ AI เข้าใจคำสั่งเสียงและตีความหมายของคำสั่งเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในยุคนี้เรามีผู้ช่วยดิจิทัลที่คอยช่วยเหลือการจัดการงานต่างๆ ในแต่ละวัน ตั้งแต่การตรวจเช็คสภาพอากาศไปจนกระทั่งเรียกรถแท็กซี่มารับที่หน้าบ้าน มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อยที่ AI กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปเรียบร้อยแล้ว

Amazon, Apple, Google, Microsoft และ Samsung ต่างก็เข้ามาร่วมวงในเกมธุรกิจนี้ด้วยกันทั้งสิ้น (อาจจะสำเร็จมากหรือน้อยต่างกันไป) ต่อจากนี้เราจะเห็นผู้ช่วยดิจิทัลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะการรวมตัวของ AI กับอุปกรณ์อื่นๆ ทั้งที่บ้าน ที่ทำงาน รวมไปถึงในรถโดยสารต่างๆ ในรูปแบบของ IoT (Internet of Things) ที่เชื่อมต่อถึงกันผ่านอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

ใครยังจำการเปิดตัวของ siri บน iPhone 4s ในช่วงปลายปี 2011 ที่สร้างความฮือฮาของผู้ช่วยดิจิทัลได้บ้างครับ? มันเปิดประตูของความเป็นไปได้อันน่าตื่นเต้น แม้ว่าจะทำอะไรได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ (เทียบกับตอนนี้มันต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ) แต่มันก็ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ในตอนนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน (ประมาณ 3 ปี) Amazon ก็เปิดตัว Echo ที่เป็น Smart Speaker ที่มีผู้ช่วยดิจิทัลอย่าง Alexa เป็นศูนย์กลางที่คอยช่วยเหลือให้ชีวิตเราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า Alexa จะเน้นหนักไปทางด้าน e-commerce และการรับสื่อต่างๆ เป็นหลักในตอนแรก แต่ในตอนนี้เราเห็นแล้วว่าแผนการของ Amazon กว้างกว่านั้นมาก โดยขยายไปยังการควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ภายในบ้าน และการสื่อสารอีกด้วย ตอนนี้ Alexa กลายเป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดไปแล้ว เนื่องจากราคาที่ไม่แพงมากและการทำงานที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย